นางเอกยุค 90 “หมิว ลลิตา” ชื่อที่คนในวงการบันเทิงและแฟนละครต่างจดจำได้เป็นอย่างดี กลับมาเปิดใจหลังหายหน้าหายตาจากวงการไปนานกว่า 10 ปี เผยถึงสาเหตุที่ต้องห่างหายไป พร้อมเล่าเรื่องราวการเจ็บป่วยครั้งใหญ่ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 2 ครั้ง จนถึงขั้นนอนติดเตียง เกือบเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต เรื่องราวชีวิตส่วนตัวที่แทบไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
เส้นทางการแสดงและการหายไปจากวงการ
หมิว ลลิตา เปิดเผยว่าผลงานการแสดงล่าสุดของเธอคือละครเรื่อง “ล่า” ที่ออกอากาศในปี 2560 หลังจากนั้นเธอได้หันไปทำงานเป็นพิธีกรอยู่ประมาณ 8 ปี ร่วมกับพี่ท็อป ก่อนที่จะหายไปจากวงการอย่างสิ้นเชิงราว 2 ปี
“หลังจากเรื่องสุดท้าย ก็มาทำงานในช่วงปี 60 เสร็จปี 62 แล้วเกิดโควิดพอดี จึงเริ่มทำธุรกิจร้านกาแฟก่อน และต่อมาเปิดเป็นที่พักอย่างเป็นทางการประมาณปี 65” หมิวเล่า
เมื่อถูกถามว่าตั้งใจออกจากวงการมาทำโรงแรมเลยหรือไม่ หมิวตอบว่า “ไม่ได้คิดขนาดนั้น แต่โฟกัสอยู่ที่สิ่งใหม่ ที่เราตั้งใจจะทำ” เธอเผยว่าค่าก่อสร้างที่พักของเธอสูงถึง 8 หลัก ทุกอย่างเน้นคุณภาพ ด้วยจำนวนห้องเพียง 10 ห้อง
“ตอนที่ทำ คนที่ทำถามว่าไม่เอากำไรเลยเหรอ เพราะเราอยากให้คนมาพักในอุปกรณ์ห้องที่ดี มีคุณภาพ อยากให้เขามากินอิ่ม นอนหลับ อยู่สบาย พักผ่อนอย่างมีความสุข ได้ควอลิตี้ชีวิตที่ดี สมกับการที่เราลงทุนให้กับแขกที่มาพัก”
การเจ็บป่วยหนักที่ไม่เคยเปิดเผย
แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้หมิวต้องหายไปจากวงการ คือการเจ็บป่วยอย่างหนัก ที่แทบไม่มีใครรู้มาก่อน เธอเผยว่าเริ่มมีอาการปวดขาข้างหนึ่ง จนนั่งได้แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ต้องยกขาขึ้นหรือนอนราบ ไม่สามารถวางขาในลักษณะปกติได้
“อยู่ด้วยยาแก้ปวดมาเป็นปี แล้วไปหาหมอ ตอนแรกตรวจพบว่าเป็นหมอนรองกระดูก ได้รับการฉีดสเตอรอยด์ ซึ่งช่วยได้ในช่วงแรก แต่หลังจาก 3 เดือนผ่านไป อาการกลับแย่ลง” หมิวเล่า
การตรวจ MRI ครั้งที่สองพบว่า หมอนรองกระดูก L5 แตกและไปทับเส้นประสาท คุณหมอแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดแบบผ่านกล้อง ซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก
เมื่อถูกถามถึงสาเหตุของอาการ หมิวเล่าว่า คุณหมอบอกว่าอาจเกิดจากการกระแทก หรือหกล้ม “พี่เป็นคนบาลานซ์ไม่ค่อยดี ชอบล้ม ที่บ้านมีบันไดไม้ วันหนึ่งหมิวตกบันไดซึ่งอาจทำให้กระดูกกระแทกและแตกไปทับเส้นประสาท และในช่วงก่อสร้างที่พัก ก็มีการยกของหนัก ทำงานหนักโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อร่างกายที่อายุมากขึ้น”
การผ่าตัดครั้งแรกและการกลับมาเจ็บป่วยอีกครั้ง
การผ่าตัดครั้งแรกประสบความสำเร็จดี ใช้วิธีผ่าตัดผ่านกล้องขนาดเล็ก หมิวใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลเพียง 3 วัน และพักที่บ้านอีก 7 วัน ก็สามารถกลับมาทำงานได้
แต่โชคร้ายที่ไม่นานหลังจากนั้น เธอเริ่มมีอาการปวดอีกข้างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงานหนัก การตรวจวินิจฉัยในครั้งแรกไม่พบสาเหตุของอาการ แม้จะทำ MRI แล้วก็ตาม
“ต้องทำการตรวจเพิ่มเติม สแกนลงไปถึงก้นกบข้างล่าง จึงพบว่ามีซีสต์เกาะอยู่ที่ก้นกบ 4-5 เม็ด ซึ่งไปกดทับเส้นประสาท” หมิวเล่า
การผ่าตัดครั้งที่สองและภาวะวิกฤติ
การผ่าตัดครั้งที่สองเป็นการผ่าตัดใหญ่ และมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก เพียง 1 ใน 100 ราย
“ตอนนั้นกลัวมาก แต่ก็ต้องผ่า เพราะใช้ชีวิตแบบเจ็บปวดไม่ได้ มันเจ็บมาก” หมิวเล่า “ครั้งนี้เป็นการผ่าตัดแบบโบราณ คือผ่าตัดใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อเอาก้อนซีสต์ออกมา จำได้ว่าก่อนดมยาสลบ มีคุณหมอเต็มห้องเลย”
หลังการผ่าตัด หมิวต้องเผชิญกับภาวะที่เกือบเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต ครึ่งล่างของร่างกายมีอาการชา แทบไม่มีความรู้สึก
“ตอนพักฟื้น ไม่เคยคิดว่าจะขยับไม่ได้ เพราะเป็นการผ่าตัดกลางหลัง เราก็นอนหงายไม่ได้ ขึ้น-ลงบันไดไม่ได้ ครึ่งล่างมันจะชา แทบไม่มีความรู้สึก เข้าห้องน้ำไม่ได้ ใช้ชีวิตลำบากมาก”
ชีวิตติดเตียงและความกังวลเรื่องอนาคต
หมิวต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานาน ดูหนังมากกว่า 100 เรื่อง การขับถ่ายก็เป็นปัญหาใหญ่ ต้องไปรับการสวนที่โรงพยาบาล
“อยู่แบบนี้เป็นเดือน ใจเสียมาก ตอนนั้นถึงรู้สึกว่า จะกลับมาเป็นปกติได้อีกหรือไม่”
แม้จะป่วยหนัก แต่หมิวพยายามรักษาสุขภาพจิตให้ดี ยังคุยกับเพื่อนได้ปกติ แต่พยายามปิดบังลูกไม่ให้รู้ว่าป่วยหนัก
การพบลูกในต่างประเทศและเปิดเผยความจริง
ลูกสาวคนโตของหมิว กำลังเรียนอยู่ที่อเมริกา ด้วยอาการป่วยทำให้เธอไม่สามารถเดินทางไกล 30 ชั่วโมงไปหาลูกได้ จึงนัดพบกันที่ประเทศอังกฤษซึ่งเป็นจุดกึ่งกลาง
“ตอนไปถึง ลูกก็เห็นว่าแม่ต้องนั่งรถเข็น ส่วนอีตั้น (ลูกชายคนเล็ก) รู้อยู่แล้วเพราะเป็นคนเข็นให้” หมิวเล่า “ตอนนั้นเดินได้ในระยะสั้นๆ แต่เดินในสนามบินที่มีระยะทางยาวไม่ได้ จึงต้องใช้วีลแชร์ช่วย”
การฟื้นตัวและชีวิตในปัจจุบัน
ปัจจุบัน หลังผ่านไปเกือบ 2 ปี หมิวมีอาการดีขึ้นมาก แต่แพทย์แนะนำไม่ให้วิ่งหรือทำกิจกรรมที่มีการกระแทก เพราะอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก
“ตอนนี้ปกติแล้ว ไม่ต้องใช้วีลแชร์ สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ แต่คุณหมอบอกว่าอย่าไปวิ่งเลย อย่าไปกระแทก เพราะหลังเรามีหลายข้อ อาจเกิดปัญหาซ้ำได้อีก”
ชีวิตครอบครัวและลูกๆ
หมิวมีลูก 2 คน คือ “แพลงตอน” ลูกสาวคนโต อายุ 24 ปี ที่กำลังเรียนทำหนังอยู่ที่อเมริกา และ “อีตั้น” ลูกชายคนเล็ก อายุ 22 ปี ที่กำลังประสบความสำเร็จในวงการนายแบบ
“คนโตจะเหมือนแข็งนอก อ่อนใน ส่วนคนเล็กแข็งใน อ่อนนอก” หมิวเล่าถึงลักษณะนิสัยของลูกทั้งสอง
เมื่อลูกสาวขอไปเรียนต่างประเทศ หมิวก็คิดถึงและเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ระบาด และมีข่าวการทำร้ายคนเอเชียในต่างประเทศ “ไม่มีความสุขเลยในช่วงที่ลูกอยู่ต่างประเทศ เพราะโลกมันไม่เหมือนเดิม”
อีตั้น กับเส้นทางนายแบบ
ลูกชายคนเล็ก อีตั้น เริ่มสนใจเป็นนายแบบตั้งแต่จบไฮสกูล โดยเมื่อตอนอายุ 13 ปี มีคนชวนให้ไปเดินแฟชั่นวีค
“เขาถามว่าอยากเดินไหม บอกว่าอยาก แต่จะเดินยังไง ตัวเขาไม่เชื่อว่าแม่เคยเป็นนางแบบมาก่อน เพราะไม่มีรูปให้ดู” หมิวเล่า จึงพาลูกไปฝึกกับ อุ๋ม อาภาศิริ ที่เป็นทั้งนางแบบและครูสอนเดิน
ในช่วงอายุ 20 ปี หลังจบไฮสกูล อีตั้นได้โอกาสเข้าร่วมงานแฟชั่นโชว์ของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง โดยเข้าคิวแคสติ้งเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้ใช้สิทธิพิเศษจากการเป็นลูกดารา
“ลูกไม่เคยได้สิทธิ์พิเศษจากแม่ เขาต้องการเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้อยู่ภายใต้ปีกแม่ เขาอยากวัดความสามารถตัวเอง” หมิวเล่าด้วยความภูมิใจ “เขาไปแคสและได้งานหลุยส์ วิตตอง จากนั้นก็ได้งานมาเรื่อยๆ ทำเป็นอาชีพต่อเนื่องมายาวเลย”
เรื่องราวสุดฮากับการเตรียมลูกไปเรียนต่างประเทศ
หมิวเล่าเรื่องขำขันก่อนที่ลูกสาวจะบินไปเรียนต่างประเทศ โดยพาลูกแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อถุงยางอนามัย
“กำลังจะเลี้ยวเข้าบ้าน แล้วนึกได้ว่า เด็กผู้ชายมหาวิทยาลัย มีผู้หญิงสวยๆ เยอะ อยู่ดีๆ จะต้องไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ ก็เลยแวะเซเว่น บอกลูกให้ซื้อถุงยาง เพราะไม่รู้ว่าที่นู่นจะมีขายง่ายหรือเปล่า แถมช่วงนั้นยังมีโควิดด้วย”
สถานะหัวใจและความหวังในอนาคต
เมื่อถูกถามถึงเรื่องความรัก หมิวเผยว่า “ประสบการณ์ตรงนั้นไม่ประสบความสำเร็จ ตอนนี้เลยมุ่งอยากให้ลูกมีความสุขกับความรักของตัวเอง เป็นทีมซัพพอร์ตลูก อยากให้ลูกมีประสบการณ์ของตัวเอง ทั้งดีและไม่ดี เราไม่อยากไปกำหนดเขา”
ลึกๆ แล้ว หมิวอยากให้ลูกประสบความสำเร็จในเรื่องความรักก่อนตัวเอง และกลัวลูกจะคิดว่าแม่แบ่งใจไปให้คนอื่น
ความรู้สึกในฐานะแม่
หมิวฝากข้อความถึงลูกทั้งสองคนว่า “รักทุกวันอยู่แล้ว ที่ลูกทำก็ดีที่สุดอยู่แล้ว แม่พอใจในวันนี้ ดีใจที่พี่ตอน (ลูกสาว) ประสบความสำเร็จเรียนจบให้คุณแม่ แล้วอีตั้นก็ตั้งใจทำงาน มาเยี่ยม มาดูแลคุณยาย ห่วงแม่ ห่วงยาย แม่ไม่คิดว่าเด็กผู้ชายจะทำได้แบบนี้ ก็รักและภูมิใจในลูกมาก”
ชีวิตของ “หมิว ลลิตา” แม้จะต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากกับการเจ็บป่วยหนักจนถึงขั้นเกือบเป็นอัมพาต แต่ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้างและลูกๆ ทำให้เธอสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายมาได้ แม้จะต้องหายหน้าไปจากวงการบันเทิง แต่กลับได้พบเส้นทางใหม่ในการทำธุรกิจที่พัก พร้อมทั้งได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น และได้เห็นความสำเร็จของลูกๆ ทั้งสองคน นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวชีวิตที่น่าประทับใจของอดีตนางเอกชื่อดัง